“ใจที่เร่าร้อนเป็นไฟ เท้าต้องก้าวเดินไป" (เทียบ ลก 24:13-35) ....สารวันแพร่ธรรม ปี 2023....

แบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อ...คุณตะเกียง
พลังชีวิตจาก...พระเจ้า
แบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อ...คุณตะเกียง

สาเหตุที่มาเป็นคาทอลิก ทำไม อย่างไร
     ก่อนที่จะเป็นคาทอลิกเกียงเป็นคนคิดมาก ขี้น้อยใจ ประกอบกับโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่เป็นแต่กำเนิดและหมอก็บอกว่าอายุจะสั้นอยู่ไม่เกิน 20 ปี ทำให้ไม่ได้เรียนหนังสือจนอายุ 17 ปี จึงได้เรียน กศน. จนจบปริญญาตรี ม.สุโขทัยฯ คณะบริหารธุรกิจ เอกการจัดการทั่วไป เป็นการเรียนรวดเดียวตั้งแต่ป.6 ถึง ป.ตรี โดยไปสอบอย่างเดียวไม่เคยได้เข้าเรียนในชั้นเรียนเหมือนคนอื่น

    จำได้ว่าก่อนที่จะรับศีลล้างบาปในปี 2000 (ตอนนั้นอายุ 22 ปีค่ะ) เริ่มรู้สึกว่าชีวิตไปต่อไม่ไหว น้ำมัน พลังชีวิตเหลือน้อยเต็มที ไม่รู้ว่าจะพยายามต่อสู้ไปเพื่ออะไร เกียงเป็นพุทธสวดพระไตรปีฎกทุกวันแต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ช่วยอะไร เริ่มสนใจ สงสัยว่าพระเจ้ามีจริงไหม แต่ก็รู้สึกสับสนวุ่นวายจากคำบอกเล่าของคนคริสต์นิกายต่าง ๆ ที่ขอมาสอนถึงที่บ้าน ประกอบกับช่วงนั้นมีเหตุการณ์ที่พี่สาวกำลังจะแต่งงานก็พาเกียงไปตรวจหาสาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงที่เกียงเป็น เพื่อเขาจะวางแผนครอบครัวก่อนแต่งงาน ปรากฎว่าคุณหมอที่ตรวจได้เรียกเกียงและพี่สาวเข้าไปฟังผลพร้อมกันและบอกว่า เกียงเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากไขสันหลังซึ่งเป็นโรคกรรมพันธุ์ เนื่องจากพ่อและแม่ของเราเป็นพาหะทั้งคู่มาเจอกันทำให้ลูกออกมาจะเป็นโรคนี้ หมอบอกว่าพี่สาวเกียงโชคดีมากที่ไม่เป็นไรเพราะเกียงได้มารับโรคนี้ไปแทน ถ้าเกียงไม่เป็นพี่สาวก็ต้องเป็นค่ะ ตอนนั้นจำได้ว่าความรู้สึกของเกียงที่ได้ฟังก็ยิ่งแย่จากที่เรารู้สึกหมดหวังกับชีวิตอยู่แล้ว

 
 
 คืนนั้นเกียงรู้สึกท้อแท้น้อยใจกับชีวิตจนกลายเป็นความโกรธ นอนร้องไห้ต่อว่ากับชะตาชีวิตของตัวเองแล้วก็เริ่มต่อว่าพระเจ้าที่ก็ยังไม่รู้ว่ามีจริงไหม บ่นว่าพระองค์ว่า “ไหนล่ะพระเจ้า ทำไมทำให้เราต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าพระเจ้ามีจริงทำไมโลกนี้มันถึงไม่น่าอยู่เอาเสียเลย ฯลฯ” คืนนั้นเกียงต่อว่าพระและหลับไปทั้งน้ำตา

    วันต่อมาเกียงตื่นมาด้วยความรู้สึกที่ยังคงอ่อนแอย่ำแย่อยู่เหมือนเดิม แล้วอยู่ ๆ ก็มีโทรศัพท์มาหาเกียงจากผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเกียงไม่เคยรู้จัก เธอบอกว่าได้เบอร์เกียงมาจากใครสักคนแต่ที่สำคัญเธอบอกว่าเธอเป็นคริสเตียนที่เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงต้องนั่งรถเข็นเหมือนกัน เธออยากโทร. มาให้กำลังใจ  ก่อนวางสายจากกันเธออ่านกลอนที่แต่งจากชีวิตของตัวเองให้เกียงฟัง (ทั้งที่เธอไม่เคยได้เรียนหนังสือ อาศัยถามคำอ่านจากคนรอบตัวจึงทำให้อ่านหนังสือออก) กลอนมีดังนี้ค่ะ...
    
    “ชีวิตฉันเหมือนอยู่ในโลกกว้าง
มันอ้างว้างเหมือนหมอกที่ทึบหนา
กางแขนออกหวังเพียงจะพบพาน
ผู้เมตตาช่วยด้วยอยากพ้นภัย

    
  มีแววตาอ่อนโยนคอยมองฉัน
อุ่นไอนั้นวิญญาณฉันรู้เห็น
ช่วยประคองเพราะเดินแสนยากเย็น   
พระผู้เป็นอยู่ใกล้ใจไม่กลัว    
 
   เมื่อน้ำตาไหลรินยิ้มไม่ออก      
พระเจ้าตอบลูกเอ๋ยพ่อแลเห็น
แม้เจ้าทุกข์สุดแสนจะลำเค็ญ       
พ่อจะเป็นผู้ช่วยคอยคุ้มภัย”

    ปรากฎว่า เกียงฟังบทกลอนนี้ไปพลางน้ำตาก็ไหลไป จนแม้วางสายโทรศัพท์นั้นแล้วก็ยังคงรู้สึกซาบซึ้ง เหมือนเราส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปเมื่อคืนแล้วพระเจ้าก็ตอบกลับมาให้เกียงได้รับรู้ว่าพระองค์มีอยู่จริง และเฝ้ามองเกียงอยู่ด้วยความรัก ตั้งแต่นั้นมาเกียงรู้สึกได้ถึงพลังที่ไหลเข้ามาในชีวิต จากความท้อแท้ หมดหวัง เปลี่ยนเป็นเข้มแข็งขึ้นทันทีเมื่อเกียงเปิดใจยอมรับและคืนดีกับพระองค์

 หลังจากที่เกียงได้พบรักและเชื่อถึงพระเจ้าแล้ว ตอนนั้นจำได้ว่ามีคนชวนไปหลายที่เลยของคริสเตียนนิกายต่าง ๆ ที่มาชวนและเสนอว่าจะมารับ-ส่งถึงบ้าน แต่พระก็นำเกียงผ่านทางพี่สาวอีกคน (เกียงมีพี่สาว2คนค่ะ) ที่จะแต่งงานเช่นกันกับพี่เขยที่เป็นคริสตังค์นอน เขาจึงชวนเกียงไปเรียนคำสอนเป็นเพื่อนที่วัดนักบุญยอแซฟ ตรอกจันทน์ ซึ่งเป็นวัดที่สะดวกอยู่ใกล้ สามารถเดินจากบ้านไปได้

2.เรียนคำสอนกับใคร เวลาเรียนคำสอนรู้สึกอย่างไร คำสอนเรื่องอะไรที่รู้สึกดี อะไรที่เข้าใจยาก

    เกียงและพี่สาวไปเรียนคำสอนกับคุณพ่อชุมพา ค่ะ เรียนอยู่ประมาณ 1 ปี คุณพ่อก็บอกว่าให้ล้างบาปได้แล้ว เวลานั้นตอนที่เรียนจำได้ว่าไม่ค่อยรู้สึกอะไรเท่าไหร่ค่ะ สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีก็อาจจะแค่ว่าคุณพ่อสอนประมาณว่า ให้เจริญชีวิตอย่างสงบอย่าไปวุ่นวายกับนิกายต่าง ๆ ที่บอกว่าโลกจะแตกหรือแม่พระร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดอะไรอย่างนั้น คำสอนที่รู้สึกไม่ค่อยเข้าใจในตอนนั้นน่าจะเรื่องพวกฤทธิ์กุศลหรือเรื่องพวกนอกรีต อาจเพราะเกียงมาจากครอบครัวแวดล้อมเป็นคนพุทธ เลยรู้สึกเรื่องพวกนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามเกียงก็ได้เข้ารับศีลล้างบาปที่วัดนักบุญยอแซฟ ตรอกจันทน์ในวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ.2000

    หลังจากนั้นเกียงก็ต้องไปวัดเองทุกสัปดาห์เพราะพี่สาวเขาพอแต่งงานก็แยกตัวออกไปพักอยู่ที่อื่น จำได้ว่าสมัยแรก ๆ เกียงยังไม่มีรถเข็นไฟฟ้าต้องให้แม่บ้านไปส่งทิ้งไว้ที่วัดพอเสร็จมิสซาก็มาเข็นกลับ สิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงเกียงให้เติบโตในความรักของพระเจ้าคือความสุขจากพิธีมิสซา ทั้งเพลงและที่สำคัญคือพระวาจาของพระค่ะ เคยนั่งน้ำตาซึมในวัดฟังบทเทศน์แล้วรู้สึกว่าพระเจ้ากำลังตรัสผ่านทางคุณพ่อก็บ่อย ๆ


****คุณตะเกียง ปัจจุบันเป็นสมาชิกพลมารี เป็นอาสาสมัครช่วยงานในหลายองค์กร ***


LINKS

www.ppoomm.v

http://www.catholicmission.org.au/http://www.missionsocieties.ca/www.pms-phil.orgwww.missio.org.mthttp://www.obrasmisionalespontificias.es/คณะธรรมทูตไทย

สถิติการเยี่ยมชม

14605919
Today
Yesterday
This Week
This Month
All days
147
329
1018
3342
14605919
Your IP: 18.118.1.173
2024-11-13 13:59