สมณองค์กรสหพันธ์ธรรมทูตของพระสงฆ์และนักบวช
ตุลาคม 2021
“เป็นไปไม่ได้ที่นักบวชชายหรือหญิงจะรักพระเยซูเจ้า แต่ไม่มีความกระตือรือร้นในงานแพร่ธรรม”
(บุญราศีเปาโล มานนา)
(ข้อไตร่ตรองสำหรับนักบวช)
จากพระวรสารนักบุญมัทธิว
“บรรดาผู้ชอบธรรมจะทูลถามว่า “พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว แล้วถวายพระกระยาหาร หรือทรงกระหาย แล้วถวายให้ทรงดื่ม เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าแล้วต้อนรับ หรือทรงไม่มีเสื้อผ้าแล้วถวายให้ เมื่อใดเล่าข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ประชวรหรือทรงอยู่ในคุกแล้วไปเยี่ยม พระมหากษัตริย์จะตรัสตอบว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา...พวกนั้นจะทูลถามว่า พระเจ้าข้า เมื่อใดเล่าที่ข้าพเจ้าทั้งหลายเห็นพระองค์ทรงหิว ทรงกระหาย ทรงเป็นแขกแปลกหน้า หรือไม่มีเสื้อผ้า เจ็บป่วย หรืออยู่ในคุก และไม่ได้ช่วยเหลือ พระองค์จะตรัสตอบว่า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านไม่ได้ทำสิ่งใดต่อผู้ต่ำต้อยของเราคนหนึ่งท่านก็ไม่ได้ทำสิ่งนั้นต่อเรา แล้วพวกนี้ก็จะไปรับโทษนิรันดร ส่วนผู้ชอบธรรมจะไปรับชีวิตนิรันดร” (มธ 25.37-40,4-46)
จากเอกสารพระศาสนจักร
“นักบวชควรระลึกไว้เสมอว่าพระศาสนจักรนำเสนอพระคริสตเจ้าแก่ผู้มีความเชื่อและผู้ไม่มีความเชื่อในรูปแบบที่น่าประทับใจทุกวันผ่านทางชีวิตของพวกเขา” (LG. 31)
“คณะนักบวชมีชีวิตแห่งการรำพึงภาวนาและทำงาน มีส่วนร่วมและยังมีส่วนร่วมอยู่อย่างสำคัญในการประกาศข่าวดีแก่โลกแม้ในทุกวันนี้ สภาสังคายนานี้เต็มใจรับรู้คุณงามความดีของคณะนักบวชเหล่านี้ และขอบพระคุณพระเจ้าที่พวกเขาได้เสียสละมากมายเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์และงานรับใช้วิญญาณ สภาสังคายนาขอเตือนคณะนักบวชเหล่านี้ให้ก้าวต่อไปอย่างไม่ย่อท้อในงานที่ได้เริ่มทำมาแล้ว พวกเขาทราบแล้วว่าคุณธรรมความรักซึ่งต้องปฏิบัติให้ครบครันยิ่งขึ้นอันเนื่องมาจากกระแสเรียกของเขานั้น บังคับและผลักดันเขาให้มีจิตตารมณ์และทำงานที่มีลักษณะเป็นคาทอลิกอย่างแท้จริง
คณะนักบวชที่มีชีวิตแห่งการรำพึงภาวนานั้น โดยทางการสวดภาวนา การทนทุกข์ทรมาน และการทำงานเพื่อใช้โทษบาปนั้น ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากในการช่วยวิญญาณให้กลับใจ เพราะพระเจ้าทรงส่งคนงานไปเกี่ยวเก็บข้าวในทุ่งนาของพระองค์ เมื่อทรงถูกขอให้กระทำ (เทียบ มธ 9:38) ทรงเปิดใจของคนที่มิใช่คริสตชนให้ฟังข่าวดี (เทียบ กจ 16:14) และทรงบันดาลให้พระวาจาแห่งความรอดพ้นเกิดผลในใจของมนุษย์ (เทียบ 1 คร 3:7) ยิ่งกว่านั้น ยังขอร้องคณะนักบวชเหล่านี้ให้สร้างอารามขึ้นในดินแดนมิสซังเหมือนที่บางคณะได้ทำมาแล้ว เพื่อว่าเมื่อการเจริญชีวิตในแบบที่เข้ากับธรรมประเพณีทางศาสนาอย่างแท้จริงของประชาชน เขาจะได้เป็นประจักษ์พยานอย่างสง่าผ่าเผยท่ามกลางผู้ที่มิใช่คริสตชน เพื่อประกาศพระอานุภาพและความรักของพระเจ้า รวมทั้งการรวมเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าด้วย
คณะนักบวชที่มีชีวิตของการทำงาน ไม่ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นการแพร่ธรรมอย่างเคร่งครัดหรือไม่ก็ตาม พวกเขาควรถามตนเองอย่างจริงใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าว่า พวกเขาจะขยายงานเพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้าให้กว้างออกไปได้หรือไม่ จะทิ้งงานศาสนบริการบางอย่างไว้ให้คนอื่นเพื่อทุ่มเทพละกำลังในการปฏิบัติงานแพร่ธรรมได้หรือไม่ ถ้าจำเป็นจะดัดแปลงแก้ไขกฎข้อบังคับของคณะแต่ยังถือจิตตารมณ์ของผู้สถาปนาคณะไว้ได้หรือไม่ สมาชิกของคณะมีส่วนร่วมในความพยายามในการแพร่ธรรมเท่าที่สามารถหรือไม่ และวิธีการดำเนินชีวิตของเขาเป็นประจักษ์พยานในการประกาศข่าวดีให้กับประชาชนในถิ่นนั้นอย่างแท้จริงแล้วหรือไม่
ภายใต้การดลใจของพระจิตเจ้า ในปัจจุบัน คณะนักบวชฆราวาสในพระศาสนจักรยิ่งวันยิ่งเพิ่มมากขึ้น กิจการงานของพวกเขาอยู่ภายใต้อำนาจของพระสังฆราช การแพร่ธรรมสามารถเกิดผลดีในหลายๆทาง อันเป็นเครื่องหมายแสดงถึงการอุทิศตนอย่างครบครันในการประกาศข่าวดีแก่โลก” (AG. 40)
“บรรดานักพรตใช้ชีวิตของเขาที่ถวายแด่พระเป็นเจ้านั้นเองเป็นเครื่องมืออย่างประเสริฐสำหรับการประกาศพระวรสารอย่างได้ผล โดยความจริงที่สุดของชีวิตนักพรตพวกเขาพัวพันกับพลังดึงดูดของชีวิตพระศาสนจักร ซึ่งกระหายองค์สัมบูรณัตต์ (Absolute) และถูกเรียกไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาเป็นองค์พยานประกาศความศักดิ์สิทธิ์เพราะพวกเขาเป็นตัวแสดงถึงแรงบันดาลใจของพระศาสนจักรที่ปรารถนาจะอุทิศตนต่อคำเรียกร้องอันเข้มงวดของความสุขแท้(Beatitudes) ชีวิตของเขาเป็นเครื่องชี้บอกว่า เขาสรรพพร้อมทุกอย่างเพื่อพระเป็นเจ้า พระศาสนจักรและพี่น้องมนุษย์” (EN. 69)
“ในความมั่งคั่งอันไม่มีเหือดแห้งและหลายรูปแบบของพระจิตนั้น เป็นที่มาแห่งกระแสเรียกเข้ามาสู่สถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว ซึ่งสมาชิกของสถาบันนี้จากการที่ ‘ได้อุทิศตนเพื่อรับใช้พระศาสนจักร อันเนื่องมาจากการถวายตัวของเขานี้จึงมีพันธะที่จะต้องทำงานเป็นพิเศษในด้านกิจการแพร่ธรรม ตามแบบวิธีเฉพาะของสถาบันแห่งตน’” (RM. 69)
“สำนึกในการเป็นธรรมทูตแพร่ธรรม ตั้งอยู่กลางใจของชีวิตผู้รับเจิมทุกรูปแบบเลยทีเดียว ตราบใดที่บุคคลผู้รับเจิมดำเนินชีวิตในแบบที่อุทิศถวายแด่พระบิดาแต่อย่างเดียว (เทียบ ลก 2:49 ; ยน 4:34) มีใจยึดมั่นอยู่ในพระคริสต์ (เทียบ ยน 15:16 ; กท 1:15-16) และได้รับชีวิตชีวาจากพระจิต (เทียบ ลก 24:49 ; กจ 1:8 ; 2:4) บุคคลผู้นั้นย่อมให้ความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพแก่พันธกิจของพระเยซูผู้เป็นเจ้า (เทียบ ยน 20:21) โดยมีส่วนช่วยอย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษในการฟื้นฟูโลกขึ้นใหม่” (VC. 25)
“เมื่อเรารักพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาของทุกคน เราก็ย่อมจะรักเพื่อนมนุษย์ของเราด้วย ซึ่งในตัวเพื่อนมนุษย์เหล่านั้น เราก็มองเห็นว่าเขาคือพี่น้องของเราเอง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเราตระหนักว่า ยังมีพวกเขาอีกเป็นจำนวนมาก ที่ไม่รู้ถึงการสำแดงความรักของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยมในองค์พระคริสต์ เราก็ย่อมจะไม่สามารถนิ่งดูดายอยู่ได้...การโผนไปข้างหน้าแบบนี้ดำเนินอยู่ในชีวิตโดยเฉพาะของสมาชิกสถาบันชีวิตพิศเพ่งภาวนา และสถาบันชีวิตปฏิบัติกิจการ บุคคลผู้รับเจิม” (VC. 77)
จากงานเขียนของบุญราศีคุณพ่อเปาโล มานนา
“ความกระตือรือร้นเพื่อความรอดของผู้ที่ไม่ใช่คริสตชนนี้จะต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของจิตวิญญาณผู้รับเจิมที่รักพระเยซูเจ้า”
“ซิสเตอร์ทั้งหลาย! วิญญาณที่มอบถวายแด่องค์พระคริสตเจ้าเป็นธรรมทูตด้วยธรรมชาติที่แท้จริงของกระแสเรียกของพวกเขาทุกคน และพวกเขาจะเข้าใจถึงกระแสเรียกของพวกเขาอย่างเต็มเปี่ยม ประกอบไปด้วยควารักและเสียสละ และตอบสนองอย่างซื่อสัตย์ต่อกระแสเรียก”
“เธอทำงานอยู่เบื้องหลัง แต่ผ่านทางงานของเธอซึ่งได้รับการอวยพรจากพระเจ้า แนวคิดของพันธกิจการแพร่ธรรมได้มาซึ่งพื้นฐานและวิธีการที่เราไม่รู้จัก พระอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังมาถึง กระแสเรียกการเป็นนักบวชทวีขึ้น และวิญญาณได้รับความรอดพ้น”
“ผู้รับเจิมได้อุทิศทั้งชีวิตให้กับพระอาจารย์เจ้า ผู้ที่พวกเขาเรียกว่าเจ้าบ่าวแห่งจิตวิญญาณของพวกเขา และยังได้ทำสัญญาแห่งความรักและความนบนอบอันยิ่งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถเฉยเมย โดยไม่ทำอะไรเลยเพื่อความรอดพ้นของวิญญาณนับล้านผู้ที่ไม่มีความเชื่อ ผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงหลั่งโลหิตอันล้ำค่าเพื่อพวกเขาด้วย”
“อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักบวชหญิงทุกคนจะสามารถเป็นธรรมทูต (ในความหมายที่ว่าออกไปแพร่ธรรมในดินแดนธรรมทูต)...แต่ทุกคนจะต้องเป็นธรรมทูตด้วยความปรารถนา ท่าที และน้ำใจ”
คำถามเพื่อการไตร่ตรอง
- เราจะส่งเสริมจิตตารมณ์ธรรมทูตในหมู่คณะ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายและงานของเราได้อย่างไร?
- เราได้สวดภาวนาเพื่องานแพร่ธรรม บรรดาธรรมทูต และกระแสเรียกการเป็นธรรมทูตครั้งสุดท้ายเมื่อใด?
- เราจะติดตามกระแสเรียกการเป็นธรรมทูตของตนและอุทิศตนต่อพันธกิจตามพระพรของคณะของตนได้อย่างไร?
- เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อกิจกรรมธรรมทูตของพระศาสนจักภายใต้พระพรพิเศษของคณะของเรา?
บทภาวนา
ข้าแต่พระเจ้า โปรดทอดพระเนตรบุตร ธิดาของพระองค์เหล่านี้ บรรดาพระสงฆ์ นักบวช และฆราวาสชายหญิง ผู้ที่ได้สละทุกสิ่งเพื่อเป็นพยานถึงพระวาจาและดวงพระหฤทัยของพระองค์ โปรดทรงเป็นผู้พิทักษ์ทรงพลัง การประทับอยู่อันเข้มแข็ง แอกที่อ่อนนุ่มจากภาระประจำวัน และที่หลบภัยจากแสงแดดที่แผดเผ่า ความช่วยเหลือและการป้องกันที่ทำให้ไม่สะดุดล้ม ขอโปรดทรงช่วยพวกเขาในช่วงเวลาแห่งการท้าทาย ให้พวกเขามีกำลังและได้รับการบรรเทาใจ ให้บรรลุผลสำเร็จในกิจการงานทางจิตวิญญาณ พวกเขาไม่แสวงหาความสำเร็จแบบมนุษย์หรือสิ่งของที่ไม่จีรัง หากแต่เป็นชัยชนะของพระองค์และความรอดของวิญญาณเท่านั้น
ขอโปรดให้ภาพการถูกตรึงกางเขนของพระองค์อยู่เคียงข้างพวกเขาตลอดชีวิต เป็นเครื่องหมายถึงความกล้าหาญ การปฏิเสธตนเอง ความรัก สันติ ที่จะช่วยปลอบโยนและนำทาง เป็นแสงสว่างและพลังสำหรับพวกเขาเพื่อว่าอาศัยพวกเขาเหล่านี้ พระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์จะแผ่ขยายไปทั่วโลก และพวกเขาจะรายล้อมไปด้วยบุตรชายหญิงของพระองค์ทวีมากขึ้น ขอให้พวกเขาจะได้ร้องเพลงสรรเสริญแห่งความกตัญญู สิริรุ่งโรจน์ และการไถ่ให้รอดพ้นแด่พระองค์ อาแมน